คดีฟ้องหย่า คดีครอบครัวที่มักเป็นข้อพิพาทบ่อยครั้งในศาลครอบครัว หลายคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาสามีหรือภรรยามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวหรือร่วมประเวณีกับบุคคลอื่น สามีหรือภรรยามีพฤติกรรมชั่วร้ายที่ทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย สามีหรือภรรยาถูกละทิ้งโดยอีกฝ่ายเกินหนึ่งปี ต้องการฟ้องหย่า ฟ้องชู้ และเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร บทความนี้จะแนะนำข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนฟ้องหย่า รวมถึงความสำคัญของการปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายครอบครัว
รายละเอียดเนื้อหา
คดีฟ้องหย่า คือ
คดีฟ้องหย่าเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่หนึ่งในคู่สมรสตัดสินใจยุติการสมรสอย่างเป็นทางการผ่านการตัดสินใจของศาล การหย่าร้างไม่เพียงแต่สิ้นสุดสถานะการสมรสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแบ่งสินทรัพย์ร่วม และการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลบุตรหลังหย่าร้างด้วย ในหลายกรณี คดีฟ้องหย่าอาจรวมถึงการเรียกร้องค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าสนับสนุนสามีหรือภรรยา และการแบ่งสินทรัพย์
การฟ้องหย่าเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและอาจต้องใช้เวลานาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดีและความสามารถในการตกลงกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งรวมถึงการแบ่งสินทรัพย์ร่วมและการตกลงเกี่ยวกับการดูแลบุตร การปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในคดีครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าสิทธิและผลประโยชน์ของท่านได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ในระหว่างกระบวนการนี้ ในประเทศไทย มีหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่ชัดเจนสำหรับการฟ้องหย่าภายใต้ พรบ. ครอบครัว และในกฎหมายไทย มีเหตุผลหลายประการที่คู่สมรสสามารถยื่นฟ้องหย่าได้
เหตุที่ภรรยา หรือ สามี สามารถฟ้องหย่าได้มีอะไรบ้าง (พูดถึงมาตรากฎหมาย)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามี 10 ประการ ดังนี้
- มาตรา 1516 (1) ผิดประเวณี: สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (2) ประพฤติชั่ว: สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง หรือได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะ และความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (3) ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ: สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (4) การละทิ้ง: สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (4/1) ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี: สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (4/2) แยกกันอยู่เกินสามปี: สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (5) ถูกประกาศเป็นคนสาบสูญ: สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (6) ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดู: สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะ และความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (7) วิกลจริตเกินสามปี: สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (8) ผิดทัณฑ์บน: สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (9) เป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรง: สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
- มาตรา 1516 (10) ไม่สามารถร่วมประเวณีได้: สามีหรือภริยามีสภาพกายทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
ฟ้องหย่ามีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรได้หรือไม่
ในกรณีที่มีบุตร ฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเลี้ยงดูบุตรจากอีกฝ่ายหนึ่ง การตัดสินใจเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรนั้นขึ้นอยู่กับศาล ซึ่งจะพิจารณาจากความสามารถของฝ่ายที่ต้องจ่าย ความต้องการของบุตร และสถานะทางการเงินของทั้งสองฝ่าย ศาลมีอำนาจในการกำหนดว่าฝ่ายใดควรจ่ายค่าเลี้ยงดู รวมถึงจำนวนเงินที่ควรจ่าย คำตัดสินนี้จะคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดของบุตรเป็นหลัก โดยปกติแล้ว การจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรจะต้องดำเนินการต่อไปจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนคำสั่งของศาล สำหรับฝ่ายที่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอาจนำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมายเพิ่มเติม
ค่าใช้จ่ายในการฟ้องหย่า
ค่าใช้จ่ายในการฟ้องหย่าโดยทั่วไปจะมีค่าธรรมเนียมศาลที่ค่อนข้างต่ำเพียง 200 บาท และมีค่าใช้จ่ายสำหรับการส่งหมายเรียกและคำฟ้องถึงจำเลย ซึ่งอัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่กับแต่ละศาลที่กำหนด
หากมีการเพิ่มประเด็นเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสเข้ามาในคดี ค่าธรรมเนียมศาลจะเพิ่มขึ้นตามมูลค่าของสินสมรสที่ต้องการแบ่ง โดยทั่วไป หากมูลค่าสินสมรสที่ฟ้องแบ่งไม่เกิน 300,000 บาท ค่าธรรมเนียมศาลจะไม่เกิน 1,000 บาท สำหรับสินสมรสที่มีมูลค่าเกิน 300,000 บาท ค่าธรรมเนียมศาลจะเป็นร้อยละ 2 ของจำนวนเงินที่ฟ้องขอแบ่ง
สามี หรือ ภรรยา สามารถฟ้องชู้ได้หรือไม่
ภรรยาหรือสามีสามารถฟ้องชู้ได้หากพบว่าคู่สมรสของตนมีความสัมพันธ์นอกเหนือจากการสมรส การฟ้องชู้สามารถนำไปสู่การเรียกร้องค่าเสียหายจากบุคคลที่สามที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ขั้นตอนการฟ้องหย่า
การฟ้องหย่าเป็นกระบวนการที่ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ อย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ปรึกษาทนายที่มีความเชี่ยวชาญ
การปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในคดีครอบครัวเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ทนายความสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิและขั้นตอนต่างๆ ในการฟ้องหย่า
เตรียมเอกสารหลักฐาน
การเตรียมเอกสาร และหลักฐานที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งจำเป็นในการยื่นฟ้องหย่า เอกสารเหล่านี้รวมถึงใบสมรส หลักฐานการเงิน และหลักฐานการปฏิบัติผิดประเวณีหรือการทำร้ายร่างกาย
ทนายความจัดทำคำฟ้องยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจ
ทนายความจะจัดทำคำฟ้องและยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาคดี
ศาลนัดพิจารณาคดี
หลังจากยื่นคำฟ้อง ศาลจะนัดหมายเพื่อพิจารณาคดี ซึ่งอาจมีการไกล่เกลี่ยหรือการตัดสินคดีโดยศาล
ศาลพิพากษาโดยวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดี
ศาลจะพิจารณาหลักฐานและข้อเท็จจริงเพื่อตัดสินคดี ซึ่งอาจรวมถึงการตัดสินเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรส การเลี้ยงดูบุตร และค่าเลี้ยงดู
นำคำพิพากษาพร้อมหนังสือรับรองคดี ยื่นจดทะเบียนหย่าต่อเจ้าหน้าที่
หลังจากได้รับคำพิพากษาจากศาล ฝ่ายที่ยื่นฟ้องหย่าต้องนำคำพิพากษาและหนังสือรับรองคดีไปยื่นจดทะเบียนหย่าที่สำนักทะเบียนเพื่อให้การหย่าร้างมีผลทางกฎหมาย
สำนักงานทนายความสรศักย์ ที่ปรึกษาทนายความคดีครอบครัว
สำนักงานทนายความสรศักย์ ที่ปรึกษากฎหมายเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญ และเป็นที่นิยมของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในการดำเนินคดีฟ้องร้องต่างๆ ด้วยการเลือกใช้สำนักงานทนายความสรศักย์ ที่ปรึกษากฎหมาย ผู้เสียหายจะได้รับการให้คำปรึกษาด้วยบริการที่มีคุณภาพ และมืออาชีพระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษา ไกลเกลี่ยข้อพิพาท หรือจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้อง ปรึกษาทนายความ รับว่าความคดีฟ้องร้องทางการแพทย์ สามารถติดต่อรับคำปรึกษาได้ที่
บริษัท สำนักงานกฎหมายสรศักย์และที่ปรึกษาสากล จำกัด 49/78 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 40 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร 10700 หรือ
โทร: 081-692-2428, 094-879-5865
Facebook: บริษัท สำนักงานกฎหมายสรศักย์และที่ปรึกษาสากล จำกัด
Line: Sorasak