ในการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรับจ้างทำโครงการขนาดใหญ่ หรือการรับงานที่ต้องมีการประมูลราคา (ประมูลงาน) ผู้ประกอบการบางรายอาจไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง เนื่องจากขาดประสบการณ์ ผลงาน หรือเงินทุนที่เพียงพอ หรืออาจขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับงานนั้น ๆ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงอาจจำเป็นต้องร่วมมือกับผู้อื่นในการรับงาน เพื่อยกระดับความสามารถในการดำเนินงานและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของตน ที่สำคัญคือ การรวมตัวกันนี้สามารถสร้างองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันกับคู่แข่งได้
การร่วมมือทางธุรกิจมีหลายรูปแบบ ซึ่งอาจรวมถึงการนำเงินทุน และเทคโนโลยีมาร่วมกันลงทุน โดยกำหนดสัดส่วนหุ้นและการจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างกัน คล้ายกับการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา หรือในบางกรณีอาจเป็นการร่วมกันรับงานเพียงอย่างเดียว โดยมีการแบ่งแยกสิทธิและหน้าที่ รวมถึงกำไรและขาดทุนอย่างชัดเจน รูปแบบการร่วมมือทางธุรกิจที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ได้แก่ กิจการร่วมค้า (Joint Venture) และกิจการค้าร่วม (Consortium)
กิจการร่วมค้า (Joint Venture) คือ
Joint Venture หรือกิจการร่วมค้า คือ การร่วมกันประกอบธุรกิจของสองฝ่ายขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคล เพื่อร่วมกันทำธุรกิจสักอย่าง โดยทั้งสองฝ่ายจะนำทรัพยากรที่มีอยู่มารวมกัน เช่น เงินทุน เทคโนโลยี หรือบุคลากร เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน
รูปแบบของกิจการร่วมค้า มีรูปแบบใดบ้าง
1. กิจการร่วมค้าที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (Incorporated Joint Venture)
คือ การก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจการร่วมกัน
2. กิจการร่วมค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (Unincorporated Joint Venture)
คือ การทำสัญญาร่วมกันโดยไม่ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ข้อดีของกิจการร่วมค้า
เข้าถึงทรัพยากรได้มากขึ้น: ทั้งเงินทุน เทคโนโลยี และบุคลากร
เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ได้
ลดความเสี่ยง: แบ่งปันความเสี่ยงในการลงทุน
กฎหมาย: ต้องศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง
ประโยชน์ของกิจการร่วมค้า (Joint Venture)
กิจการร่วมค้าเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีประโยชน์มากมายที่สามารถนำมาซึ่งความสำเร็จให้กับธุรกิจได้ ดังนี้
1. เพิ่มความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรได้มากขึ้น
- เงินทุน: ร่วมกันระดมทุนเพื่อดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องการเงินทุนจำนวนมาก
- เทคโนโลยี: รวมเอาเทคโนโลยีที่แตกต่างกันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ
- บุคลากร: รวมเอาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาทำงานร่วมกัน
- ทรัพย์สิน: นำทรัพย์สินที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น โรงงาน เครื่องจักร หรือช่องทางการจัดจำหน่าย
2. ช่วยลดและกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
ลดความเสี่ยงในการลงทุน: เมื่อมีการแบ่งปันความเสี่ยงกันแล้ว ความเสี่ยงที่แต่ละฝ่ายต้องรับก็จะลดลง
กระจายความเสี่ยง: ความเสี่ยงทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้นจะถูกกระจายไปยังหลายฝ่าย
3. เพิ่มโอกาสเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ
ขยายฐานลูกค้า: สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าของกันและกันได้มากขึ้น
เข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่าย: ใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายของกันและกันเพื่อขยายตลาด
เข้าถึงเทคโนโลยีใหม่: ได้เรียนรู้และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ในธุรกิจ
4. เรียนรู้และพัฒนา
แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์: ได้เรียนรู้และพัฒนาองค์ความรู้ร่วมกัน
สร้างเครือข่ายธุรกิจ: สร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้ารายใหม่ๆ
พัฒนาบุคลากร: ส่งเสริมให้บุคลากรได้พัฒนาทักษะและความสามารถ
5. สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ได้
สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง: สร้างแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือมากขึ้น
ตัวอย่างของกิจการร่วมค้า (Joint Venture)
กิจการร่วมค้า (Joint Venture) มีให้เห็นได้ทั่วไปในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมีรูปแบบและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป
อุตสาหกรรมยานยนต์
การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า: บริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ โดยบริษัทรถยนต์นำประสบการณ์ในการผลิตมาใช้ ส่วนบริษัทเทคโนโลยีนำเทคโนโลยีแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติมาเสริม
การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์: บริษัทขนาดเล็กหลายแห่งมารวมตัวกันเพื่อผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีความซับซ้อน โดยแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบกันไป
อุตสาหกรรมเทคโนโลยี
การพัฒนาซอฟต์แวร์: บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็กหลายแห่งร่วมมือกันพัฒนาซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เช่น ระบบปฏิบัติการ หรือโปรแกรมประยุกต์ทางธุรกิจ
การให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing): บริษัทโทรคมนาคมร่วมมือกับบริษัทไอทีเพื่อให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง โดยบริษัทโทรคมนาคมนำโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายมาใช้ ส่วนบริษัทไอทีนำเทคโนโลยีด้านซอฟต์แวร์มาพัฒนา
อุตสาหกรรมการเงิน
การให้บริการทางการเงิน: ธนาคารพาณิชย์ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) เพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัลและบริการทางการเงินอื่นๆ
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล: บริษัทการเงินร่วมมือกับบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโทเคอร์เรนซี หรือ Cryptocurrency
อุตสาหกรรมอื่นๆ
อุตสาหกรรมอาหาร: บริษัทผลิตอาหารรายใหญ่ร่วมมือกับบริษัทเกษตรกรรมเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว: สายการบินร่วมมือกับโรงแรมเพื่อสร้างแพคเกจท่องเที่ยวที่หลากหลาย
อุตสาหกรรมพลังงาน: บริษัทน้ำมันร่วมมือกับบริษัทพลังงานหมุนเวียนเพื่อพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทน
กิจการร่วมค้าต้องจดทะเบียนหรือไม่?
กิจการร่วมค้า เป็นการรวมตัวกันของบุคคลหรือองค์กรตั้งแต่สองรายขึ้นไป เพื่อร่วมกันลงทุนและดำเนินธุรกิจบางอย่าง โดยมีเป้าหมายเพื่อแบ่งปันผลกำไรและความเสี่ยงร่วมกัน คำถามที่ว่า “กิจการร่วมค้าต้องจดทะเบียนหรือไม่” นั้นเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เนื่องจากกฎหมายไม่ได้บังคับให้กิจการร่วมค้าทุกแห่งต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเสมอไป
ความแตกต่างระหว่างกิจการร่วมค้าที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน
- กิจการร่วมค้าที่ไม่จดทะเบียน
เป็นการทำสัญญาความร่วมมือกันระหว่างคู่สัญญา โดยไม่มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก ข้อดีคือตั้งขึ้นได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือคู่สัญญาทุกคนจะต้องรับผิดชอบหนี้สินของกิจการร่วมค้านั้นร่วมกันในฐานะบุคคลธรรมดา
- กิจการร่วมค้าที่จดทะเบียน
เป็นการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อดำเนินกิจการร่วมกัน โดยมีการจดทะเบียนตามกฎหมายบริษัท ข้อดีคือมีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหาก ทำให้ความรับผิดชอบจำกัดอยู่เฉพาะทรัพย์สินของบริษัท แต่ข้อเสียคือกระบวนการตั้งขึ้นซับซ้อนกว่า และมีค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนและบำรุงรักษา
ปัจจัยใดบ้างที่ควรพิจารณาในการตัดสินใจจดทะเบียน
ขนาดและความซับซ้อนของธุรกิจ: หากกิจการร่วมค้ามีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน การจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะช่วยให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีระบบมากขึ้น
มีความเสี่ยง: หากกิจการร่วมค้ามีความเสี่ยงสูง การจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะช่วยจำกัดความรับผิดชอบส่วนตัวของคู่สัญญา
ระยะเวลาของโครงการ: หากโครงการมีระยะเวลายาวนาน การจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะช่วยให้ธุรกิจมีความต่อเนื่องมากขึ้นกฎหมายและข้อบังคับ: ในบางกรณี กฎหมายอาจกำหนดให้ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น ในกรณีที่ต้องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
กิจการค้าร่วม (Consortium) คืออะไร
กิจการค้าร่วม หรือ Consortium นั้นเปรียบเสมือนการจับมือกันของหลายองค์กรหรือบริษัท เพื่อร่วมกันดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องการทรัพยากรและความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย โดยแต่ละองค์กรจะนำจุดแข็งของตนเองมารวมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกัน
ประโยชน์ของกิจการค้าร่วม
กิจการค้าร่วม หรือ Consortium การรวมตัวกันในลักษณะนี้ นอกจากจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์อีกมากมาย ดังนี้
1. ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
การรวมพลัง: การรวมตัวกันของหลายองค์กร ทำให้กิจการค้าร่วมมีทรัพยากรที่หลากหลาย ทั้งในด้านเงินทุน เทคโนโลยี บุคลากร และประสบการณ์ ทำให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แบ่งปันความรู้: การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างสมาชิก ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้มีคุณภาพสูงขึ้น
2. ลดความเสี่ยง
กระจายความเสี่ยง: การแบ่งปันความเสี่ยงระหว่างสมาชิก ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนลดลง หากเกิดปัญหาขึ้น องค์กรใดองค์กรหนึ่งก็จะไม่ต้องแบกรับภาระทั้งหมดเพียงลำพัง
เสริมสร้างความมั่นคง: การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งหลายราย จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับกิจการค้าร่วม
3. เพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดใหม่
ขยายฐานลูกค้า: การรวมตัวกันของหลายองค์กร ทำให้สามารถเข้าถึงฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น และเปิดตลาดใหม่ๆ ได้
สร้างเครือข่ายธุรกิจ: การทำงานร่วมกันกับพันธมิตร จะช่วยสร้างเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง
4. ช่วยประหยัดต้นทุน
แบ่งปันทรัพยากร: การใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น โรงงาน เครื่องจักร หรือบุคลากร จะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน
ต่อรองเงื่อนไข: การรวมตัวกันเป็นกลุ่ม จะมีอำนาจในการต่อรองกับซัพพลายเออร์ได้ดีขึ้น ทำให้ได้ราคาที่ต่ำลง
5. ปฏิบัติตามข้อกำหนด
ตอบสนองนโยบายภาครัฐ: ในบางกรณี กฎหมายหรือข้อกำหนดของภาครัฐอาจกำหนดให้โครงการขนาดใหญ่ต้องจัดตั้งเป็นกิจการค้าร่วม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างของกิจการค้าร่วม (Consortium) ที่น่าสนใจ
กิจการค้าร่วม (Consortium) นั้นเป็นการรวมพลังของหลายองค์กรเพื่อร่วมกันดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องการทรัพยากรและความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย โดยแต่ละองค์กรจะนำจุดแข็งของตนเองมารวมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ร่วมกัน ตัวอย่างของกิจการค้าร่วมที่น่าสนใจมีดังนี้
1. โครงการรถไฟความเร็วสูง
การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินทุนและเทคโนโลยีที่สูงมาก ดังนั้นหลายประเทศจึงเลือกที่จะจัดตั้งกิจการค้าร่วม โดยมีบริษัทก่อสร้างจากหลายประเทศมาร่วมกันดำเนินโครงการนี้ บริษัทเหล่านี้จะแบ่งงานกันทำ เช่น บริษัทหนึ่งรับผิดชอบงานออกแบบ อีกบริษัทหนึ่งรับผิดชอบงานก่อสร้าง และอีกบริษัทหนึ่งรับผิดชอบงานระบบสัญญาณ ซึ่งการรวมพลังกันของหลายบริษัทจะช่วยให้โครงการดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
2. โครงการสำรวจอวกาศ
การสำรวจอวกาศเป็นโครงการที่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ดังนั้นหลายประเทศจึงร่วมมือกันจัดตั้งสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) โดยมีองค์กรอวกาศจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ญี่ปุ่น และยุโรป ร่วมกันออกแบบ ก่อสร้าง และบำรุงรักษาสถานีอวกาศแห่งนี้ ซึ่งการร่วมมือกันในลักษณะนี้ ทำให้มนุษย์สามารถศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับอวกาศได้มากขึ้น
3. โครงการพัฒนาพลังงานทดแทน
การพัฒนาพลังงานทดแทนเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของกิจการค้าร่วมที่สำคัญ เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทนต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลาย ดังนั้นบริษัทพลังงานจึงมักจะร่วมมือกับสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนานวัตกรรมพลังงานทดแทนชนิดใหม่ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล
4. โครงการวิจัยทางการแพทย์
การวิจัยและพัฒนายารักษาโรคใหม่ๆ เป็นโครงการที่ต้องใช้เงินทุนและเวลามาก ดังนั้นบริษัทยาจึงมักจะร่วมมือกับสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัย เพื่อเร่งกระบวนการวิจัยและพัฒนายา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดเชื้อร้ายแรง เช่น โรคเอดส์ โรคมะเร็ง และโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
5. โครงการก่อสร้างเขื่อน
การก่อสร้างเขื่อนเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เทคนิคการก่อสร้างที่ซับซ้อนและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงมักจะมีการจัดตั้งกิจการค้าร่วม โดยมีบริษัทก่อสร้างหลายแห่งมาร่วมกันดำเนินโครงการนี้ เพื่อแบ่งปันความเสี่ยงและความรับผิดชอบ
สำนักงานทนายความสรศักย์ รับจดทะเบียนบริษัท
เปิดให้บริการด้านกฎหมายมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 มีประสบการณ์และได้รับความเชื่อถือการให้บริการด้านกฎหมายของประเทศไทย ซึ่งมีการให้บริการ ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เรามีการบริการทางด้านกฎหมายหลายด้านให้แก่ลูกค้าและครบวงจร (One Stop Legal Sevice) โดยทางเราให้บริการช่วยเหลือธุรกิจของท่าน ในด้านรับจดทะเบียนบริษัท เช่น การจดทะเบียนบริษัท, การจดทะเบียนนิติบุคคล, หรือ การขออนุญาตประกอบกิจการ
สำนักงานทนายความสรศักย์ เป็นที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจชั้นนำที่ให้บริการด้านเอกสารบริษัทอย่างครบวงจรและครอบคลุมทุกมิติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนบริษัท การจัดการกฎหมายภายในองค์กร การแก้ไขข้อพิพาท และการป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจ ด้วยทีมทนายความมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในด้านกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา สำนักงานทนายความสรศักย์ พร้อมให้คำปรึกษา และการสนับสนุนทางกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตและเฟื่องฟูอย่างยั่งยืน เรามีความพร้อม ความมุ่งมั่น ในการบริการด้านกฎหมายของประเทศไทย แก่ลูกค้าทุกคนโดยมืออาชีพ
ติดต่อที่ปรึกษากฎหมาย
บริษัท สำนักงานกฎหมายสรศักย์และที่ปรึกษาสากล จำกัด 49/78 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 40 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร 10700
โทร: 081-692-2428, 094-879-5865
Facebook : บริษัท สำนักงานกฎหมายสรศักย์และที่ปรึกษาสากล จำกัด
Line: Sorasak